Sunday, March 11, 2012

GID: หญิงข้ามเพศ กับข้อเท็จจริงทางการแพทย์

Disease Management : Gender Identity Disorder ภาวะความไม่พอใจในเพศตัวเอง
Article: นพ.ธรรมนาถ เจริญบุญ
นิตยสาร Health Today
http://www.healthtoday.net/thailand/disease/diisease_118.html
Keywords: GID, Gender identity disorder, หญิงข้ามเพศ, กระเทย, ตุ๊ด, การแพทย์, จิตเวช, จิตวิทยา

    กะเทย ตุ๊ด แต๋ว สาวประเภทสอง และหญิงข้ามเพศ (บางคนบอกว่าบุรุษข้ามเพศน่าจะถูกต้องกว่า) เหล่านี้คงเป็นคำพูดที่เราได้ยินบ่อยๆ และเพิ่งกลายเป็นประเด็นที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เมื่อแพทยสภาออกกฎเกี่ยวกับการแปลงเพศออกมา ฉะนั้นเราจะมาเรียนรู้กันดีกว่าว่า ภาวะนี้คืออะไรกันแน่
     ในภาษาการแพทย์ใช้คำเรียกภาวะนี้ว่า gender identity disorder (GID) ขณะที่สมัยก่อนจะใช้คำว่า transsexualism แต่ปัจจุบันไม่นิยมใช้เท่าไรแล้ว ในบทความนี้จึงขอใช้คำว่า GID เป็นหลัก เพื่อหลีกเลี่ยงคำประเภท ตุ๊ด กะเทย แต๋ว หรือหญิงข้ามเพศ ซึ่งบางคำอาจฟังไม่ไพเราะ และเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน 

พัฒนาการด้านเพศของเด็ก
     โดยปกติจะพบว่า

* อายุ 2-3 ปี เด็กจะเริ่มรู้จักเพศตนเอง บอกเพศตนเอง และผู้อื่นได้
* อายุ 3-5 ปี เริ่มเลียนแบบบทบาททางเพศของพ่อหรือแม่ที่เป็นเพศเดียวกัน
* อายุ 6-12 ปี เริ่มเลียนแบบคนรอบๆ ตัว ต่อมาเริ่มมีกลุ่มเพื่อนเพศเดียวกัน ส่งเสริมพฤติกรรมกันและกัน
* อายุ 13-18 ปี เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เกิดความรู้สึกทางเพศ รู้ว่าตนเองชอบเพศใด
และโดยปกติแล้วความพอใจทางเพศนี้เมื่อเกิดแล้วจะไม่เปลี่ยนแปลง ถ้ารักเพศเดียวกันก็เรียกว่ารักร่วมเพศ (homosexuality)

GID คืออะไร
     GID คือ ภาวะที่มีความไม่พอใจในเพศตัวเอง คิดว่าตัวเองน่าจะเป็นเพศตรงข้าม รังเกียจอวัยวะเพศของตนเอง ทำให้มีความต้องการจะเป็นเพศตรงข้ามเมื่อโตขึ้น ซึ่งก็คือ ผู้ชายอยากจะเป็นผู้หญิง และผู้หญิงอยากจะเป็นผู้ชายนั่นเอง

พบได้บ่อยแค่ไหน ?
     GID จะพบในผู้ชายบ่อยกว่าผู้หญิงประมาณ 3-5 เท่า โดยเพศชายพบได้ 1 ใน 30,000 คน ส่วนเพศหญิงพบได้ 1 ใน 100,000 คน

สาเหตุการเกิด GID
     ปัจจัยทางด้านพันธุกรรม ยังไม่มีการศึกษาที่มากพอ เกี่ยวกับเรื่องผลของพันธุกรรมกับ GID มีเพียงบางการศึกษาที่พบว่า พันธุกรรมอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิด GID

      ปัจจัยทางด้านกายภาพ เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนแอนโดรเจน (androgen) ในช่วงระหว่างการตั้งครรภ์ นั่นคือ โดยปกติแล้ว ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในช่วงที่เป็นตัวอ่อน เนื้อเยื่อจะถูกกำหนดมาให้เป็นเพศหญิงไว้ก่อน แต่หากมีฮอร์โมนแอนโดรเจน (ซึ่งการสร้างฮอร์โมนแอนโดรเจนนั้นถูกกำหนดโดยโครโมโซม Y) เกิดขึ้น ฮอร์โมนแอนโดรเจนจะทำให้เกิดการพัฒนาและการเจริญของอัณฑะ (testicular development) ทำให้บริเวณอวัยวะเพศเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอวัยวะเพศชาย แต่หากไม่มีฮอร์โมนแอนโดรเจนจะทำให้เกิดอวัยวะเพศหญิง พูดง่ายๆ ก็คือ ฮอร์โมนแอนโดเรเจนเป็นฮอร์โมนความเป็นชายนั่นเอง

      นอกจากนี้ฮอร์โมนแอนโดรเจนยังเกี่ยวกับความชอบทางเพศด้วย โดยการมีฮอร์โมนแอนโดรเจนมากทำให้เกิดความชอบต่อเพศหญิง ส่วนการมีฮอร์โมนแอนโดรเจนน้อยทำให้มีความชอบในเพศชาย จากการศึกษาพบว่า การที่มารดามีฮอร์โมนแอนโดรเจนต่ำในช่วงตั้งครรภ์ทำให้เด็กผู้ชายเติบโตมี ลักษณะและพฤติกรรมที่ค่อนไปทางเพศหญิง ในขณะเดียวกันเด็กผู้หญิงที่มีฮอร์โมนแอนโดรเจนสูงก็จะมีลักษณะและท่าทางออก ไปทางผู้ชาย

      ปัจจัยทางด้านการเลี้ยงดู พบว่าในเรื่องของความสัมพันธ์ของเด็กกับพ่อแม่ มีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยหากพ่อหรือแม่มีปัญหา มีการใช้ความรุนแรง หรือไม่ใกล้ชิด จะทำให้ลูกเกิดปัญหาทางเพศได้ เช่น เด็กผู้ชายที่พ่อไม่อยู่ หรือพ่อเป็นตัวอย่างไม่ดี เช่น ก้าวร้าว เมาเหล้า ตบตี ก็ทำให้เด็กไม่มีแบบอย่างที่ดีในการเลียนแบบ หรืออาจนำไปสู่การโกรธ เกลียด ไม่พอใจในเพศชาย รวมถึงทำให้เด็กสนิทกับแม่ ซึ่งเป็นเพศหญิง มากจนเกินไป จนทำให้เด็กเลียนแบบแม่แทน

      อีกปัจจัยหนึ่งจากการเลี้ยงดูก็คือ การส่งเสริมหรือยอมรับในพฤติกรรมทางเพศของพ่อแม่ เช่น การที่พ่อแม่ไม่ทำให้เด็กพอใจหรือยอมรับในเพศตัวเอง แต่กลับมีท่าทีหรือทัศนคติบางอย่างที่ทำให้เด็กคิดว่า การทำตัวเป็นเพศตรงข้ามจะทำให้ตัวเองมีคุณค่ามากกว่า รวมไปถึงการที่เด็กแสดงออกผิดเพศแล้วพ่อแม่ไม่แก้ไข เช่น พ่อที่อยากได้ลูกชายมาก เมื่อได้ลูกสาวก็อาจจะชอบที่ลูกเล่นอะไรแบบเด็กผู้ชาย และไม่พยายามห้าม เป็นต้น

ลักษณะอาการเป็นอย่างไร
     แม้ว่าผู้ปกครองส่วนใหญ่อาจจะสังเกตเห็นความผิดปกติของเด็กที่เป็น GID ได้ตั้งแต่อายุประมาณ 3-4 ขวบ แต่มักจะเห็นได้ชัดเจนเมื่อเข้าวัยเรียนไปแล้ว
โดยอาการหลักๆ จะประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบ คือ

- มีความไม่พอใจในเพศตัวเองอย่างมาก
- เอาแบบเพศตรงข้ามอย่างชัดเจนและเป็นตลอดเวลา
- มีความต้องการจะเป็นเพศอื่น

     โดยในเด็กผู้หญิง อาจจะเห็นว่า เด็กชอบที่จะเล่นอะไรแบบผู้ชายมากกว่า เช่น เล่นบอล เล่นต่อสู้ เล่นแรงๆ แทนที่จะเล่นตุ๊กตา เล่นเป็นครอบครัว หรือเล่นทำอาหาร

      ในเด็กผู้ชายจะพบว่า เด็กจะสนใจกิจกรรมแบบผู้หญิงมากกว่า เช่น มีตุ๊กตาเป็นของเล่นชิ้นโปรด มากกว่าสัตว์ประหลาดหรือหุ่นยนต์ต่างๆ เด็กชอบเล่นเป็นครอบครัว (โดยที่มักจะชอบเล่นเป็นแม่) ชอบเล่นกับเด็กผู้หญิงมากกว่าเด็กผู้ชาย หรือบางครั้งอาจจะแต่งตัวหรือใช้เครื่องประดับของผู้หญิง (มักหยิบเอาของแม่หรือพี่สาวมาใส่)

      เด็กกลุ่มนี้เมื่อโตขึ้นมักจะบอกว่า ตัวเองอยากเป็นเพศตรงข้าม เด็กผู้ชายบางคนอาจจะบอกว่า เมื่อโตขึ้นอัณฑะของเขาจะหายไป หรืออาจจะบอกว่า เขาจะมีความสุขกว่านี้หากไม่มีอัณฑะ ส่วนในเด็กผู้หญิงอาจจะบอกว่า ไม่อยากจะมีเต้านม

     เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น คนกลุ่มนี้ต้องการมีชีวิตและถูกปฏิบัติแบบเพศตรงข้าม ต้องการลักษณะทางเพศของเพศตรงข้าม ชอบและอยากที่จะแต่งตัวเป็นเพศตรงข้าม ทำกิจกรรมแบบเพศตรงข้าม รวมถึงมีความคิดว่าตัวเองเกิดมาผิดเพศ (เช่น ผู้ชายที่เป็น GID มักจะบอกว่า รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่เกิดมาในร่างผู้ชาย) มักเริ่มอยากที่จะใช้ยา ฮอร์โมน หรือผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกให้เป็นเพศตรงข้าม

      โดยในผู้ชายมักจะกินฮอร์โมนเอสโตเจน (estrogen) โดยอาจจะใช้วิธีกินยาคุมเพื่อให้มีหน้าอก และมีรูปร่างแบบผู้หญิง รวมถึงอาจจะไปจี้หรือเลเซอร์เอาขน หนวด เคราออก ส่วนในผู้หญิงมักเริ่มจากพันผ้าที่หน้าอก (เพื่อให้เหมือนไม่มี) หรืออาจจะสนใจการผ่าตัดเพื่อตัดเต้านม กินฮอร์โมนเพศชายเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ เพื่อให้เสียงเปลี่ยนเป็นแบบผู้ชาย

GID กับ homosexual ต่างกันอย่างไร
สองภาวะนี้มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ใน homosexual (คำในภาษาไทยอาจจะเรียกว่าเกย์ ทอม) นั้น ถึงแม้จะชอบเพศเดียวกัน แต่คนๆ นั้นจะยังมีบทบาทหรือการใช้ชีวิตในแบบเพศของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น เกย์ แม้จะชอบผู้ชาย แต่ก็จะยังแต่งตัวแบบผู้ชาย ใช้ชีวิต หรือทำงานแบบผู้ชายได้ และไม่ได้ต้องการเปลี่ยนเพศ เพียงแต่ชอบผู้ชายเท่านั้น ซึ่งจะไม่เหมือนกับ GID ในเพศชาย ที่จะต้องการมีบทบาทหรือใช้ชีวิตแบบเพศหญิง แต่งตัวเป็นผู้หญิง ไว้ผม แต่งหน้า ทำงานแบบที่ผู้หญิงชอบทำ และต้องการที่จะแปลงเพศ

การดำเนินของโรคและอนาคต
     แม้จะพบว่าส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยจะมีอาการให้เห็นตั้งแต่ตอน 3-4 ขวบ และจะแสดงอาการให้เห็นมากขึ้นตามอายุ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเด็กทุกคนที่มีอาการจะโตขึ้นมาเป็น GID ทุกคน โดยบางส่วนจะโตขึ้นมาเป็น homosexual บางส่วนก็กลับเป็นปกติ และบางส่วนเป็น GID ต่อไป

การรักษา
     ในเด็ก การรักษา GID นั้น หากรักษาตั้งแต่อายุยังน้อยจะได้ผลดีกว่า และมีโอกาสหายมากกว่าปล่อยให้มีอาการจนเข้าวัยรุ่น ซึ่งการรักษามักไม่ค่อยได้ผล อย่างไรก็ดี การรักษาตั้งแต่เด็กก็อาจจะได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ดังนั้นไม่ควรคาดหวังว่าจะเปลี่ยนได้ในทุกราย

      สำหรับวิธีการรักษาจะใช้การปรับเรื่องทักษะทางสังคมให้เหมาะสมกับเพศของเด็ก โดยการให้ความรู้ความเข้าใจแก่ครอบครัว พยายามให้เด็กทำอะไรที่เหมาะกับเพศ ให้อยู่ร่วมกับเพื่อนที่เป็นเพศเดียวกัน ให้พ่อหรือแม่ที่เป็นเพศเดียวกันเข้ามามีส่วนดูแลลูกมากขึ้น (เช่น ลูกชายก็ให้ใกล้ชิดกับพ่อมากขึ้น) เป็นต้น รวมถึงการลดความตึงเครียดในครอบครัว เช่น ไม่ตำหนิหรือด่าว่าเด็กอย่างรุนแรง ส่งเสริมให้เด็กเข้ากลุ่มกับเพศเดียวกันที่โรงเรียน ส่งเสริมการแสดงออกให้เหมาะกับเพศ เช่น เด็กผู้ชายก็คงเหมาะกับการเล่นฟุตบอลมากกว่าแสดงละครเป็นผู้หญิง

      ในวัยรุ่นจนถึงผู้ใหญ่ มีการพูดกันเล่นๆ ว่า “GID ในเด็กนั้นให้รักษาเด็ก แต่ในวัยรุ่นนั้นให้รักษาพ่อแม่” หมายถึง เมื่อเลยเข้ามาถึงวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่แล้ว มักแก้ไขอะไรที่ตัวเด็กไม่ได้แล้ว และไม่มียาตัวใดหรือการรักษาใดในโลกนี้ที่ทำให้ผู้ป่วยกลับมาชอบเพศตัวเอง ได้ ดังนั้นการรักษา คือ การให้พ่อแม่ทำใจ เข้าใจ และยอมรับในตัวลูกได้ โดยไม่ดุด่า ไม่คาดหวัง ไม่เสียใจกับตัวเด็ก ส่วนการรักษาตัวลูกนั้นมักจะเป็นในแง่ของการช่วยให้ผู้ป่วยเป็นเพศที่เขา อยากจะเป็น และมีชีวิตอยู่อย่างสุขภาพจิตดี

โดยวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ คือ

    * ให้ผู้ป่วยได้ทดลองใช้ชีวิตในแบบเพศตรงข้ามสักระยะหนึ่ง
    * การรักษาด้วยฮอร์โมน (hormone treatment) โดยในผู้ชายจะให้กินฮอร์โมนเอสโตรเจน เพื่อให้มีเต้านม มีลักษณะภายนอกไปทางผู้หญิง ซึ่งจากประสบการณ์พบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เป็น GID มักจะใช้วิธีไปซื้อยาคุมกินเอง และกินเป็นจำนวนมาก (บางคนกินเดือนละ 4-8 แผง) ซึ่งค่อนข้างจะเสี่ยงต่ออันตรายจากผลข้างเคียงของยาโดยเฉพาะเมื่อใช้ไปนานๆ ดังนั้นควรจะไปตรวจดูผลข้างเคียงของการใช้ฮอร์โมนกับแพทย์เป็นระยะๆ เพราะอาจมีผลต่อการทำงานของตับ ระดับไขมันในเลือด ระดับน้ำตาลในเลือด หรือปัญหาเกี่ยวกับเรื่องหลอดเลือดอุดตันได้ ส่วนในผู้หญิงจะใช้ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (testosterone) ด้วยการฉีดทุก 3-4 สัปดาห์ เพื่อช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อ และทำให้เสียงเหมือนผู้ชาย รวมถึงมีผลทำให้ไม่มีประจำเดือน ซึ่งควรตรวจกับแพทย์เป็นระยะ เพื่อระวังผลข้างเคียงจากการใช้ฮอร์โมนเช่นกัน

       * การผ่าตัดแปลงเพศ (sexual reassignment surgery)
มักเป็นการรักษาขั้นสุดท้าย ในปัจจุบันกำหนดไว้ว่าการผ่าตัดแปลงเพศจะทำได้เมื่ออายุ 20 ปีบริบูรณ์เท่านั้น หากอายุ 18-20 ปี ต้องมีผู้ปกครองให้การยินยอม โดยผู้ป่วยควรที่จะได้ทดลองใช้ชีวิตในแบบเพศตรงข้ามมาแล้วอย่างน้อย 1 ปีขึ้นไป



---------------------------------------------------------------------------------------------



เปิดพจนานุกรมหาคำแปล ???
ตุ๊ด มีความหมายว่า “ผู้ชายที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศเป็นหญิง”
กะเทย มีความหมายว่า “คนที่มีอวัยวะเพศทั้งชายและหญิง, คนที่มีจิตใจและกิริยาตรงข้ามกับเพศของตนเอง; ผลไม้ที่เมล็ดลีบ เช่น ลำไยกะเทย.
แต๋ว มีความหมายว่า เรียกผู้ชายที่ทำกริยากระตุ้งกระติ้ง
ส่วนหญิงข้ามเพศ (หรือชายข้ามเพศ) ยังไม่มีการบัญญัติความหมายในพจนานุกรมครับ

No comments:

Post a Comment