Wednesday, October 24, 2012


บทความพิเศษ
ผลของสื่อต่อความรุนแรงในเด็กและวัยรุ่น
(Media and Violence)
ธรรมนาถ เจริญบุญ*
                                                                                                                                                                          ติรยา เลิศหัตถศิลป์*
*โครงการจัดตั้งภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

“I object to violence because when it appears to do good,
 the good is only temporary; the evil it does is permanent.”
(คานที, 1916)

(จาก Thammanard CharernboonLerthattasilp T. Media and violence. In: Buranatrevedh S, Tomtichong P eds. From the best practice to patient education. Pathumthani: Thammasat Printing House, 2012: 17-23. (in Thai) เอกสารจากการประชุมวิชาการฯ ปี 2555)


ในปัจจุบันสื่อ(media)เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสื่อประเภทภาพยนตร์ โทรทัศน์ วิดีโอเกมส์และอินเตอร์เน็ต ที่มีอัตราการเติบโตเป็นอย่างมากในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา นอกจากการเติบโตในแง่ของจำนวนของสื่อแล้ว ยังพบว่าชั่วโมงการใช้สื่อเหล่านี้ก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย จากการศึกษาพบว่า ในประเทศอุตสาหกรรม เด็กอายุ 5-15 ปีมากกว่าร้อยละ 90 ดูโทรทัศน์ โดยข้อมูลจากประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ดูโทรทัศน์เฉลี่ยวันละ 6 ชั่วโมง ในขณะที่ในยุโรป (ประเทศสเปน) ประชาชนดูโทรทัศน์โดยเฉลี่ยประมาณ 4 ชั่วโมงต่อวัน1  
ในจำนวนสื่อได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากนั้น สื่อจำนวนมากเป็นสื่อที่มีความรุนแรงสูง จากการศึกษาพบว่า 61% ของรายการโทรทัศน์ในอเมริกามีความรุนแรงเป็นส่วนประกอบ โดยเด็กอายุ10-15 ปี จำนวน 38% เคยดูฉากที่มีความรุนแรงจากอินเตอร์เน็ท แม้แต่วีดีโอเกมที่ได้รับการจัดเรทติ้งว่าเหมาะสมกับเด็กอายุมากกว่า 10 ปี กว่า 90%ก็มีฉากความรุนแรง นอกจากนี้จากการศึกษายังพบว่าจนถึงวันที่เด็กมีอายุครบ 18ปีนั้น เด็กได้มีประสบการณ์ดูฉากที่มีความรุนแรงกว่า 200,000 ฉากแล้ว2  แพทยสมาคม และสมาคมจิตแพทย์ของอเมริกาได้ตระหนักถึงผลเสียของความรุนแรงในสื่อที่มีผลต่อเด็กและวัยรุ่น ส่งผลให้มีการทำการศึกษาวิจัยวิจัยออกมาเป็นจำนวนมากใน 50 ปีที่ผ่านมา บทความนี้ได้รวบรวมงานวิจัยและหลักฐานทางวิชาการต่างๆ เพื่ออธิบายถึงผลกระทบของสื่อต่อเด็กและวัยรุ่นรวมและพฤติกรรมรุนแรง รวมทั้งเสนอแนวทางแก้ไขและป้องกัน

ผลกระทบของสื่อต่อเด็กและวัยรุ่น
ในด้านดี การใช้สื่อที่มีคุณภาพนั้นมีประโยชน์กับการพัฒนาของเด็ก จากการศึกษาพบว่าเด็กที่ดูรายการสารคดีหรือรายการที่ให้ความรู้ในช่วงวัยเด็ก จะมีผลการเรียนดีกว่า อ่านหนังสือมากกว่า และมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่า รวมทั้งก้าวร้าวน้อยกว่าเด็กที่ดูรายการโทรทัศน์ทั่วไปเมื่อโตขึ้นเป็นวัยรุ่น
ส่วนผลทางลบนั้น  ในเด็กเล็กพบว่าการดูโทรทัศน์เป็นเวลานานส่งผลให้มีปัญหาการนอน หลับไม่สนิท หลับไม่เป็นเวลา และยังส่งผลระยะยาวถึงความสามารถในการอ่าน และคิดคำนวนที่น้อยกว่าเด็กทั่วไปเมื่อโตขึ้นด้วย บางงานวิจัยรายงานว่าการดูโทรทัศน์มากทำให้เด็กมีสมาธิสั้นลง แต่ยังไม่มีการยืนยันที่ชัดเจนในประเด็นนี้3
ในเด็กที่โตขึ้น พบว่าการดูโทรทัศน์ส่งผลทางอ้อมให้น้ำหนักเด็กเพิ่มขึ้น จากการทดลองพบว่าเมื่อให้เด็กดูโทรทัศน์น้อยลง ค่าBMI (body mass index) ของเด็กก็ลดลงด้วย นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กที่สัมผัสสื่อ (รายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เพลง นิตยสาร) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องทางเพศมาก มีแนวโน้มจะเริ่มมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้นกว่าเด็กทั่วไป และยังพบว่าวัยรุ่นที่ดูโทรทัศน์มากกว่าวันละ4 ชั่วโมง จะสูบบุหรี่มากกว่าเด็กวัยรุ่นที่ดูโทรทัศน์น้อยกว่าวันละ2 ชั่วโมงถึง 5 เท่า3
นอกจากนั้น การดูสื่อที่รุนแรงยังสามารถส่งผลให้เกิดภาวะวิตกกังวล ซึมเศร้า Posttraumatic stress disorder ปัญหาการนอน ฝันร้าย และ การแยกตัวในเด็กและวัยรุ่นได้ด้วย2

สื่อโทรทัศน์และภาพยนตร์ก่อให้เกิดความรุนแรงได้จริงหรือ ?


นิยาม4
ความรุนแรง (Violence) หมายถึง “การกระทำที่แสดงออกมา อันก่อให้เกิดความบาดเจ็บต่อร่างกาย จิตใจหรือวัตถุ” ดังนั้นตัวอย่างของความรุนแรง ได้แก่ การทำลายข้าวของ ทำร้ายร่างกาย รวมทั้งการใช้คำพูดที่รุนแรง เป็นต้น
สื่อที่มีความรุนแรง (Violent media) หมายถึง “สื่อที่มีการแสดงความก้าวร้าวรุนแรง หรือทำอันตรายแก่บุคคลอื่น โดยที่ผู้แสดงความรุนแรงนั้นอาจจะเป็นมนุษย์ หรือไม่ใช่ก็ได้ เช่น อาจเป็นตัวการ์ตูน หุ่นยนต์ เป็นต้น”

ก่อนหน้านี้ได้มีทฤษฏีที่อธิบายว่าการดูสื่อที่รุนแรงนั้น เป็นวิธีที่จะปลดปล่อยและระบายความก้าวร้าวของบุคคลออกมาในทางที่ปลอดภัย(คือไม่ไปทำในชีวิตจริง) แต่ในเวลานี้สามารถตอบได้แล้วว่าทฤษฎีนี้ไม่เป็นความจริง จากการทบทวนวรรณกรรมได้ข้อสรุปว่า การได้รับสื่อที่มีความรุนแรงซ้ำ ๆ ในเด็กและวัยรุ่น มีผลเพิ่มพฤติกรรมรุนแรงก้าวร้าวได้ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว โดยความสัมพันธ์ของการสัมผัสสื่อที่รุนแรงแล้วเกิดพฤติกรรมรุนแรงตามมานั้นเทียบเท่ากับโอกาสเกิดมะเร็งปอดจากการสูบบุหรี่2
แต่เนื่องจากความจำกัดในเรื่องของเนื้อที่ในการเขียน ผู้เขียนจึงไม่สามารถแสดงผลการศึกษาได้ทุกชิ้น จึงขอยกเพียงบางการศึกษาที่น่าสนใจควบคู่ไปกับผลการศึกษาแบบ Meta-analysis ที่เกี่ยวกับความรุนแรง โดยจะทำการแบ่งชนิดของการศึกษาเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ การศึกษาในลักษณะของการทดลอง และการศึกษาแบบสำรวจ

ตัวอย่างการศึกษาในลักษณะการทดลอง (Randomized experiments)
               การศึกษาของ Josephson (1987)5 ได้ทำการทดลองในเด็กผู้ชาย 396 คน อายุ 7-9 ปี โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้ดูภาพยนตร์ที่มีความรุนแรงก่อนการเล่นฮอคกี้ ส่วนอีกกลุ่มให้ดูภาพยนตร์ที่ไม่มีความรุนแรง จากนั้นจึงให้เด็กทั้งสองกลุ่มเล่นฮอคกี้ด้วยกัน โดยจะมีผู้สังเกตเป็นผู้ให้คะแนน (ซึ่งไม่รู้ว่าเด็กคนไหนมาจากกลุ่มไหน) โดยจะทำการจดบันทึกจำนวนครั้งที่เด็กแต่ละคนทำความรุนแรงในระหว่างเกมส์  โดยความรุนแรงที่จะถูกบันทึกคะแนน ได้แก่ การตบ ต่อย ศอก เข่า ดึงผม กระแทกให้ล้ม และอื่น ๆ (ที่ผิดกติกาในการเล่นฮอคกี้) ผลการศึกษาพบว่าเด็กกลุ่มที่ได้ดูภาพยนตร์ที่มีความรุนแรงจะได้คะแนนความรุนแรงสูงกว่าอีกกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญ โดยพบว่าการดูภาพยนตร์ที่มีความรุนแรงมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมทำร้ายร่างกาย โดยมี effect size ในระดับปานกลาง ( r= .25, p< .05)
               โดยจากการทดลองหลายการศึกษา นอกจากจะพบว่าการได้รับสื่อที่มีความรุนแรงสามารถเพิ่มความก้าวร้าว (aggression) ได้ ยังพบว่าสื่อเหล่านี้ยังเพิ่มความชาชิน (tolerance) อีกด้วย โดย Malamuth (1981)6 ได้ทำการทดลองในนักศึกษา 271 คน โดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะได้ดูภาพยนตร์ที่มีความรุนแรงทางเพศ (Violent sexual films โดยมีสองเรื่องได้แก่ Swept Away หรือ The Gateway) ส่วนกลุ่มควบคุมจะได้ดูภาพยนตร์ที่ไม่มีความรุนแรง (เรื่อง A man and a Women หรือ Hooper) โดยหลังจากชมภาพยนตร์ 3-7 วัน จึงให้กลุ่มตัวอย่างทำแบบประเมินเรื่องการกระทำความรุนแรงต่อผู้หญิง (Acceptance of interpersonal violence against women) ซึ่งผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างผู้ชายที่ดูภาพยนตร์ที่มีความรุนแรงจะยอมรับการกระทำความรุนแรงต่อผู้หญิงได้มากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ยังมีระดับความเชื่อผิด ๆ ต่อการข่มขืนมากกว่ากลุ่มควบคุมแต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
               บทสรุปจาก Meta-analysis ในการศึกษาแบบ randomized experiments ของ Paik and Comstock (1994)6 ที่ทำการวิเคราะห์จากการศึกษา 217 ชิ้นพบว่า สื่อที่มีความรุนแรงมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมรุนแรง โดยมีค่า effect size ในระดับปานกลาง ( r=.38) จึงทำให้สามารถสรุปได้ว่า การได้รับสื่อภาพยนตร์หรือโทรทัศน์ที่มีความรุนแรง สามารถทำให้เด็กและวัยรุ่นมีความคิด อารมณ์และพฤติกรรมที่ก้าวร้าวได้  

ตัวอย่างการศึกษาในรูปแบบการสำรวจ (Survey)
การศึกษาแบบ Cross-sectional surveys         
การศึกษาของ McLeod, Atkin, and Chaffee (1972)7 พบความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมก้าวร้าว (เช่น การทะเลาะ การทำร้ายร่างกาย) กับการดูโทรทัศน์ที่มีความรุนแรง ในเด็กระดับมัธยม โดยความสัมพันธ์มีนัยสำคัญทั้งในเพศชายและเพศหญิง โดยมีระดับความสัมพันธ์ (correlations) อยู่ระหว่าง ( r=.17-.28)
               Meta-analysis ใน cross-sectional surveys ของ Pail and Comstock’s (1994)4 พบว่าสื่อภาพยนตร์และโทรทัศน์ที่มีความรุนแรงมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง (r=.19) ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ยิ่งดูสื่อที่มีความรุนแรงบ่อยเท่าไหร่ยิ่งพบพฤติกรรมรุนแรงก้าวร้าวได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังพบอีกว่าระดับความสัมพันธ์ในเด็กประถมจะสูงกว่าในวัยรุ่นระดับมัธยม
การศึกษาแบบ Longitudinal surveys
การศึกษาของ Eron (1972)8 ได้ทำการศึกษาในเด็กอายุ 8 ปีจำนวน 856 คนในนิวยอร์ค โดยได้ทำการศึกษาติดตามไปสิบปี พบว่า เด็กผู้ชายที่ได้ดูสื่อที่มีความรุนแรงตอนอายุ 8 ขวบ จะมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงในอีกสิบปีถัดมา (r = .31, p= 0.01) โดยพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงในการศึกษานี้ได้แก่ทั้งด้านวาจาและการทำร้ายร่างกาย โดยจากการศึกษานี้สรุปได้ว่า การได้รับสื่อที่มีความรุนแรงในวัยเด็ก สามารถที่จะก่อให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงในช่วงวัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ตอนต้นได้
               Meta-analysis ใน longitudinal surveys โดย Anderson and Bushman (2002)4 ได้ทำการทบทวนการศึกษา 42 ชิ้นพบว่า สื่อที่รุนแรงมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมรุนแรงในระยะยาว ด้วย effect size ระดับปานกลาง (r=.17) จากผลการศึกษาแบบ longitudinal สรุปได้ว่า การได้รับสื่อที่มีความรุนแรงมาก ๆ ในวัยเด็ก สามารถก่อให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงได้ในระยะยาว

สื่อภาพยนตร์ก่อให้เกิดความรุนแรงได้อย่างไร ?2, 3, 4, 9

1. พฤติกรรมเลียนแบบ (Modeling/Imitation) เป็นที่ทราบกันว่าการเลียนแบบเป็นพฤติกรรมปกติของมนุษย์ แต่เพราะอะไรเราถึงเกิดการเลียนแบบขึ้น
1.1เลียนแบบเพราะยังไม่สามารถแยกแยะได้ ในเด็กอายุน้อยนั้นยังไม่สามารถแยกโลกในความจริงออกจากจินตนาการได้ การกระทำของเด็กส่วนใหญ่จึงมักจะเกิดจากการเลียนแบบและทำตามสิ่งที่พบเห็นแทบทั้งสิ้น รวมทั้งจากสื่อต่างๆ มีการศึกษาพบว่าแม้แต่เด็กอายุ 1 ปี ที่เปิดโทรทัศน์ให้ดู ก็มีพฤติกรรมตอบสนองกับตัวละครในโทรทัศน์เหมือนกับที่ตอบสนองกับคนจริงๆ2,3
1.2 เลียนแบบเพราะ mirror neuron นอกจากนี้ยังพบว่าพฤติกรรมเลียนแบบนี้เกิดจากเซลล์สมองที่เรียกว่า mirror neuron ซึ่งอยู่ในสมองส่วน inferior prefrontal cortexและ inferior parietal cortex ของมนุษย์เรา เซลล์สมอง mirror neuronนี้เป็นตัวที่ทำให้มนุษย์ทำพฤติกรรมเลียนแบบผู้อื่น โดยเมื่อเรามองคนอื่นหรือภาพยนตร์ทำสิ่งใด mirror neuronของเราก็จะทำงานในแบบเดียวกับที่สมองของคนนั้นทำงานด้วย เช่น เรามองคนเตะกระป๋อง สมองของเราก็ทำงานเสมือนเราเตะกระป๋องนั้นเองด้วย เรามองคนร้องไห้ สมองเราก็จะทำงานเหมือนเรากำลังร้องไห้ ซึ่งจะส่งผลไปกระตุ้นอารมณ์เศร้าของเราตามมา ในแง่ดีนั้นmirror neuronก็ช่วยให้เราสามารถเข้าใจความรู้สึกผู้อื่น(empathy)เพราะสมองเราก็ทำงานเสมือนมันเกิดขึ้นกับเราเองด้วย แต่ในแง่ของการเกิดความรุนแรงแล้ว การที่เราดูฉากรุนแรงซ้ำ สมองเราก็ทำงานเสมือนเราทำความรุนแรงนั้นซ้ำๆ เช่นกัน  ในการศึกษาพบว่าเมื่อเด็กดูรายการโทรทัศน์ที่มีความรุนแรง mirror neuronในสมองของเด็กคนนั้นจะถูกกระตุ้นให้ทำงาน และเด็กจะมีพฤติกรรมไปในเชิงก้าวร้าวรุนแรงขึ้นหลังจากดูรายการนั้นด้วย3

2. สร้างความหมายใหม่ของความรุนแรง (Observational learning)
Observational learning เป็นทฤษฏีที่อธิบายในเรื่องของผลระยะยาวจากความรุนแรงในสื่อ ซึ่งโดยพัฒนาการตามปกตินั้น เด็กจะสร้างมุมมอง ความคิดรวบยอดของตัวเอง จากข้อมูลที่ผ่านเข้ามาและสิ่งที่ได้พบเห็น เมื่อเด็กและวัยรุ่นใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับสื่อมาก ซึ่งในบางคนอาจใช้เวลากับโทรทัศน์ เกม และอินเตอร์เน็ทมากกว่าเวลาที่ใช้กับผู้ปกครองหรือโรงเรียนด้วยซ้ำ สื่อจึงเป็นแหล่งข้อมูลหลักที่เด็กจะเรียนรู้โลก รู้จักสังคม รวมถึงเรียนรู้ว่าควรปฏิบัติตนอย่างไร แทนการเรียนรู้จากพ่อแม่และครู  เกิดเป็นการรับรู้ความรุนแรงในความหมายใหม่ ตัวอย่างของการสร้างความหมายใหม่ที่พบได้บ่อย ได้แก่
·       การใช้ความรุนแรงเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ (acceptance of violence) และเป็นวิธีแก้ปัญหาหรือเป็นทางออกที่เหมาะสม เมื่อลองมองถึงภาพยนตร์กลุ่มฮีโร่ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น Batman, Hulk, Spiderman, James Bond และอื่น ๆ จะเห็นว่าตัวเอกจะเป็นฮีโร่ และได้รับการยกย่องจากการปราบเหล่าร้าย มากกว่าจะถูกลงโทษ ซึ่งแท้จริงแล้ว สิ่งที่ตัวเอกเหล่านี้ทำก็คือความรุนแรง ทำร้ายคน (แม้จะเป็นคนร้าย) ทำลายข้าวของ เช่นกัน
·       หากเหยื่อเป็นคนเลว การลงโทษด้วยความรุนแรงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และการแก้แค้นเป็นสิ่งที่น่าเชิดชู (Justified mean) ภาพยนตร์หลายเรื่องสร้างขึ้นโดยคล้ายกับจะยึดแนวคิดนี้เป็นโครงเรื่อง ทั้งที่ในความเป็นจริง เราต่างก็ทราบกันว่า ไม่ควรใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา เราไม่จำเป็นต้องถือมีด หรือควงปืนเดินไปมาเพื่อลงโทษคนเลวเหมือนในภาพยนตร์
·       การกระทำรุนแรงต่อเพศหญิงเป็นเรื่องที่ทำได้ ตัวอย่างที่ดีในประเด็นนี้ คือการที่ละครไทยหลายเรื่องมีฉากพระเอกข่มขืนนางเอก และกลายเป็นคู่รักกันในภายหลัง โดยที่นางเอกก็ไม่ได้คิดแม้แต่จะแจ้งความด้วยซ้ำ

3. ความชาชินที่มากขึ้น (Desensitization/Tolerance)
Desensitization ในที่นี้หมายถึง การที่เรามีความตึงเครียด (หรือความรู้สึกไม่ดี) ลดลงจากการดูสื่อที่มีความรุนแรง หรือหากเรียกง่าย ๆ ก็คือ ”ชิน” มากขึ้น ส่งผลให้เมื่อเราดูสื่อที่มีความรุนแรงนาน ๆ เราจะมีการตอบสนองต่อความรุนแรงลดลงเมื่อเทียบกับตอนแรก  และเมื่อเรามีความ “ชิน” เกิดขึ้น ก็จะมีผลทำให้เรา “เฉย ๆ “ ต่อการพบเห็นหรือกระทำความรุนแรง
นอกจากนี้ความเคยชินยังมีผลทำให้เรามี “ความเห็นอกเห็นใจ” ต่อเหยื่อน้อยลง เช่น บางคนอาจมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้หญิงที่ถูกคนรักทำร้ายน้อยลงเรื่อย ๆ เมื่อดูละครที่มีฉากลักษณะนี้บ่อย ๆ

4. การเพิ่มความรู้สึกตื่นตัวและความยับยั้งชั่งใจลดลง (Arousal/Disinhibition)
               สื่อที่มีความรุนแรงมักจะกระตุ้นให้รู้สึกตื่นตัวหรือเร้าใจสำหรับเด็กและวัยรุ่นเกือบทุกคน โดยทางสรีระแล้วอาจแสดงออกให้เห็นได้จาก อัตราการเต้นหัวใจที่เพิ่มขึ้น การหายใจเร็วขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น เป็นต้น ในภาวะที่มีการตื่นตัวสูง จะมีผลให้ร่างกายมีเรี่ยวแรงหรือกำลังมากกว่าปกติ ขณะเดียวกันหลายการศึกษาก็พบว่าสื่อที่มีความรุนแรงยังมีผลให้สมองส่วน Prefrontal cortex ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมความยับยั้งชั่งใจทำงานลดลง ซึ่งส่งผลให้มนุษย์สามารถทำความรุนแรงได้ง่ายขึ้นกว่าในภาวะปกติ 

5. การกระตุ้นรูปแบบความคิดเกี่ยวกับความรุนแรง (Priming and automatization of aggressive schematic processing)
            ในปัจจุบัน neuroscientist และ cognitive psychologist พบว่าการทำงานของจิตใจมนุษย์จะมีลักษณะเป็นแบบเครือข่าย โดยมนุษย์จะมีรูปแบบการคิด (schema) บางอย่างเก็บไว้ในความจำซึ่งสามารถถูกกระตุ้นได้โดยสิ่งกระตุ้นบางอย่าง โดยที่คน ๆ นั้นอาจจะรู้ตัวหรือไม่ก็ได้ ส่งผลให้สิ่งกระตุ้นบางอย่างอาจจะถูกตีความและกระตุ้นรูปแบบความคิดเกี่ยวกับความรุนแรงออกมาได้ทั้ง ๆ ที่ตัวสิ่งกระตุ้นนั้นก็เป็นเพียงสิ่งของ หรือสถานที่ทั่ว ๆ ไป ตัวอย่างเช่น บางคนเพียงแค่เห็นภาพอาวุธปืน ก็อาจกระตุ้นให้เกิดความคิด อารมณ์ หรือพฤติกรรมที่รุนแรงขึ้นมาได้ เป็นต้น



ปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อความรุนแรงกับสื่อ2, 4
อายุ      การศึกษาพบว่าอายุมีความสัมพันธ์เชิงลบกับผลของสื่อที่มีต่อกับความรุนแรง กล่าวคือยิ่งเด็กมีอายุน้อยการสัมผัสสื่อที่มีความรุนแรงจะยิ่งมีผลกับเด็กมาก (มีผลมากที่สุดในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี) แต่เมื่ออายุมากขึ้นจะได้รับผลกระทบจากสื่อน้อยลง
เพศ        ในเรื่องของเพศกลับไม่พบว่าสื่อที่รุนแรงส่งผลถึงการเกิดความรุนแรงที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างเพศชายและเพศหญิง
ไอคิว(IQ) จากการศึกษาส่วนใหญ่พบว่าระดับของไอคิว (IQ) ไม่มีความสัมพันธ์กับเรื่องผลของความรุนแรงจากสื่ออย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหมายความว่าถึงแม้เด็กจะฉลาดก็ยังอาจได้รับผลกระทบจากสื่อที่รุนแรงเช่นกัน
ลักษณะของสื่อ     1.พบว่าสื่อที่มีลักษณะให้ความยุติธรรม (Justification) คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เช่น คนร้ายเมื่อก่อคดีสุดท้ายก็ถูกจับ สื่อลักษณะนี้จะทำให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงน้อยกว่าสื่อที่มีลักษณะคนที่ทำชั่วแต่ได้ดี หรือตัวละครมีความสุขกับการทำพฤติกรรมรุนแรงนั้น
                              2.สื่อที่แสดงให้เห็นผลที่ตามมาของความรุนแรง (Consequences of the aggression) มีผลทำให้เกิดพฤติกรรมรุนแรงที่น้อยกว่าสื่อที่ไม่แสดงให้เห็นผลที่ตามมา เช่น การศึกษาของ Malamuth พบว่าเมื่อให้กลุ่มตัวอย่างดูวิดีโอที่มีฉากข่มขืน โดยกลุ่มหนึ่งจะได้เห็นว่า ผู้หญิงที่ถูกข่มขืนมีความทุกข์ทรมาน และถูกเหยียดหยามอย่างไร กลุ่มนี้ต่อมาจะไม่ยอมรับพฤติกรรมข่มขืน แต่อีกกลุ่มที่ได้เห็นว่าผู้หญิงที่ถูกข่มขืน ไม่ได้เจ็บปวดอะไรและเหมือนจะมีความพอใจกับการมีเพศสัมพันธ์ จะยอมรับพฤติกรรมข่มขืนได้มากขึ้น
                              3.สื่อยิ่งมีความเหมือนจริงและบรรยายรายละเอียดของการกระทำมากเท่าไหร่มากเท่าไหร่ ความรุนแรงจะยิ่งถูกซึมซับและยอมรับได้มากขึ้น
4. ยิ่งผู้ชมสามารถเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อ(interactive) ได้มากเท่าไหร่ ผลของความรุนแรงที่ตามมา
จะยิ่งมากขึ้น  จากการศึกษาเปรียบเด็กที่เล่นวีดีโอเกม(interactive) กับเด็กที่ดูภาพยนตร์(passive)ที่มีความรุนแรงระดับเดียวกัน พบว่าเด็กที่เล่นวีดีโอเกมได้รับผลกระทบมากกว่า
อิทธิพลของผู้ปกครอง        พบว่าหากผู้ปกครองนั่งชมไปด้วยพร้อมกับบุตร และมีการพูดคุยถึงความไม่เหมาะสมของความรุนแรงในสื่อจะสามารถช่วยลดอัตราการเกิดพฤติกรรมก้าวร้าวลงได้ รวมทั้งการจำกัดการเข้าถึงสื่อที่มีความรุนแรงก็ได้ผลเช่นเดียวกัน
              
แนวทางแก้ไข 2, 3, 4
               แนวทางแก้ไขที่จากการศึกษาทบทวนพบว่า น่าจะได้ผลในการลดความรุนแรงที่เกิดจากสื่อดังนี้
สำหรับผู้ปกครอง
1.เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี ไม่ควรให้ดูโทรทัศน์ แต่ควรส่งเสริมให้มีกิจกรรมที่มีปฏิสัมพันธ์กับคนมากกว่า
2. เด็กโตไม่ควรให้ดูโทรทัศน์ เกินวันละ 2 ชั่วโมง และควรดูเฉพาะรายการโทรทัศน์ที่มีคุณภาพเท่านั้น
3. ส่งเสริมให้ทำกิจกรรมอื่นๆแทน เช่น เล่นกีฬา งานอดิเรก อ่านหนังสืออ่านเล่น
4. ไม่ควรให้มีสื่อต่างๆไว้ในห้องนอน เพราะส่งผลให้เพิ่มเวลาการใช้สื่อมากขึ้น ให้วางไว้เป็นส่วนกลาง และเป็นกิจกรรมร่วมกันของครอบครัว
5.ไม่เปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้ทั้งวัน และไม่เปิดโทรทัศน์ขณะทานอาหาร
6.ดูโทรทัศน์และใช้โปรแกรมต่างๆร่วมกับเด็ก ถือเป็นโอกาสในการเข้าถึงความคิดของเด็ก และพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน สอนว่าพฤติกรรมใดไม่เหมาะสมและพฤติกรรมใดที่ควรทำ
7.ติดโปรแกรมคัดกรองสื่อในคอมพิวเตอร์ เลือกเกมส์ ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับอายุเด็ก
8.มีกฏในการใช้สื่อที่ชัดเจน และปฏิบัติตามนั้นอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดการใช้สื่อที่มากเกินไปได้
9.เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกในการใช้สื่อต่างๆ
สำหรับแพทย์
1.ให้ความรู้ผู้ปกครองตามคำแนะนำข้างต้น  เน้นการจำกัดการใช้สื่อในเด็กให้เหมาะสม และการเป็นแบบอย่างที่ดี
2.สนับสนุนการผลิตสื่อที่เหมาะสมกับเด็ก เช่น ไม่สร้างให้ผู้ที่ทำความรุนแรงได้รับการชื่นชม ส่งเสริมการแก้ปัญหาด้วยวิธีที่เหมาะสมโดยไม่ใช้ความรุนแรง ในเกมไม่ควรมีการทำร้ายสิ่งมีชีวิต เป็นต้น
3. สนับสนุนให้ภาครัฐมีการจัดเรทติ้งสื่อที่สมเหตุสมผล มีการจำกัดการเข้าถึงสื่อให้เหมาะสมกับอายุเด็ก
สำหรับโรงเรียน
1.สอนให้เด็กและผู้ปกครองทราบถึงผลกระทบของสื่อที่มีต่อตัวเอง
2.สอนให้เด็กรู้จักพิจารณาเลือกใช้สื่ออย่างเหมาะสม ในแง่เป็นการป้องกันตัวเองด้านสุขภาพ ซึ่งจะช่วยลดพฤติกรรมรุนแรงในเด็กลงได้
3.เลือกสื่อในการเรียนการสอนที่เหมาะสม

เอกสารอ้างอิง
1.         Sartorius N, Gaebel W. Lopez-Ibor JJ, Maj M. Psychiatry in Society. 1st ed. Chichester: John Wiley & Sons Ltd. 2002.
2.        From the American Academy of Pediatrics: Policy statement--Media violence. Pediatrics. 2009 Nov;124(5):1495–503.
3.         Brooks J. THE PROCESS OF PARENTING. 7THed. New York: The McGraw-Hill Companies; 2008
4.         Anderson CA, Berkowitz L, Donnerstein E, Huesmann LR, Johnson JD, Linz D, et.al. The influence of media violence on youth. Psychological science in the public interest. 2003; 4: 81-110.
5.         Josephson WL. Television violence and children’s aggression: Testing the priming, social script, and disinhibition predictions. Journal of Personality and Social Psychology. 1987; 53: 882–890.
6.         Malamuth NM and Check JVP. The effects of mass media exposure on acceptance of violence against women: A field experiment. Journal of Research in Personality. 1981; 15: 436-446.
7.         McLeod JM, Atkin CK, Chaffee SH. Adolescents, parents, and television use: Adolescent self-report measures from Maryland and Wisconsin samples. In G.A. Comstock & E.A. Rubinstein (Eds.), Television and social behavior: A technical report to the Surgeon General’s Scientific
Advisory Committee on Television and Social Behavior: Vol. 3. Television and adolescent aggressiveness (DHEW Publication No. HSM 72-9058, pp. 173–238). Washington, DC, 1972: U.S. Government Printing Office
8.         Eron LD, Huesmann LR, Lefkowitz MM, Walder LO. Does television violence cause aggression? American Psychologist. 1972; 27: 253–263.
9.          Sadock BJ, Sadock VA. Kaplan and Sadock’s synopsis of psychiatry. 10th ed. Philadelphia: Wolter Kluwer/Lippincott Williams & Wilkins; 2007